ถึงวันที่ต้องเดินทางกลับไปทำงานอีกแล้ว
หลังจากที่ผมเริ่มเข้าทำงานภาคราชการ ก็ได้มาบรรจุที่แรก ที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี
มาอยู่ไกลก็คิดถึงบ้านเป็นธรรมดา ถึงวันหยุดลองวีคเอ็นเมื่อไหร่
เป็นอันต้องกลับบ้านทุกครั้งไป ไม่เดินทางโดยรถทัวร์ รถไฟ หรือไม่ก็เครื่องบิน
แล้วแต่จังหวะ โอกาส ในการกลับไปทำงานอีกครั้ง ผมเลือกที่จะกลับไปโดยรถไฟครับ
ในเมื่อมีโอกาสมาทำงานไกลบ้าน มีโอกาสมาหาประสบการณ์ชีวิตต่างที่
เลยถือโอกาสเอาให้ครบทุกอย่าง อันไหนที่เรายังไม่เคยทำ ยังไม่เคยลอง
ในชีวิตครั้งหนึ่ง ทำซะ
สายๆของวันอาทิตย์ ผมก็เริ่มเก็บเสื้อผ้า สิ่งของจำเป็น
เตรียมตัวเดินทางกลับไปยังสุราษฎร์ธานี เริ่มจากโดยรถตู้จากอำเภอบางบ่อ
จังหวัดสมุทรปราการ ไปจนสุดสายที่บริเวณสี่แยกบางนา
จากนั้นก็นั่งรถเมล์จากสี่แยกบางนาไปลงยังบริเวณหน้าห้างโลตัสสาขาอ่อนนุช
เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส แล้วไปมุดลงดินด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน เอ็มอาร์ที
ที่สถานีสุขุมวิทย์(จุดเดียวกันถ้าเป็นสถานีรถไฟใต้ดินหรือเอ็มอาร์ทีจะเรียกว่าสถานีสุขุมวิทย์แต่ถ้าเป็นรถไฟบีทีเอสจะเรียกว่าสถานีอโศกครับ)
สุดท้ายก็ไปโผล่ยังที่หมายคือสถานนีรถไฟหัวลำโพง
ในปัจจุบันรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มส่วนต่อขยายไปยังสถานีแบริ่ง การเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะยิ่งมีความสะดวกมากขึ้นกว่าในอดีตมากครับ
หลังจากมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง ผมจึงเดินตรงไปเพื่อซื้อตั๋วไว้เป็นอันดับแรก
ตรวจสอบเที่ยวรถไฟที่จะออกเดินทางไปสายใต้ในวันนั้น กะเวลาขบวนรถไฟไปถึงประมาณตี 5
ของอีกวันนึง เผื่อเวลาเดินทางกลับที่พัก อาบน้ำแต่งตัว แล้วไปทำงานต่อ
แต่เอาเข้าจริงรถไฟแบบนอน ปรับอากาศมีอยู่ไม่กี่เที่ยวครับที่มันตรงตามแบบที่ผมได้วางโปรแกรมเอาไว้
สุดท้ายได้ตัวมาเป็นรถไฟขบวนกรุงเทพฯ – นครศรีธรรมราช แบบด่วน รถไฟออกเวลาประมาณ
17.15 น. ไปถึงสุราษฎร์ธานีก็ประมาณตีสองของอีกวันนึง โปรแกรมที่วางไว้ก็เลยต้องเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยครับ
แต่ถือว่าดีที่ไปถึงเร็วกว่าปกติ จะได้มีเวลาพักผ่อนอีกซักระยะ
เก็บแรงก่อนที่จะเริ่มงานในวันถัดไป
ในช่วงที่ผมไปถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลาขณะนั้นประมาณบ่าย 3 โมง
กว่ารถออกอีกตั้ง 2 ชั่วโมง เป็นธรรมดาของการเดินทางโดยรถไฟครับ
ที่ต้องนั่งรอกว่าขบวนรถไฟจะออก จะถือโอกาสแว๊บไปเที่ยวสถานที่ใกล้เคียง
สัมภาระค่อนข้างเยอะ เดินทางไปไม่สะดวกแน่ ก็เลยตัดสินใจขึ้นไปชั้นสองของอาคารพักผู้โดยสาร
ซื้อกาแฟแบคแคลยอนมานั่งดื่มซัก 1 แก้ว หนังสือพิมพ์ไทยรัฐยอดนิยมซัก 1 ฉบับ
นั่งอ่านเพื่อฆ่าเวลา จะได้ไม่หงุดหงิดระหว่างนั่งรอขบวนรถไฟ ในช่วงนี้แหละครับผมได้มีโอกาสสัมผัสกับสถานที่แห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนที่ต้องเดินทางไปมาโดยรถไฟ มองบรรยากาศรอบๆ
มองผู้คนที่ขวักไขว่กับการเดินทาง ที่ชั้นล่างของอาคารพักผู้โดยสาร
บางคนนั่งบนเก้าอี้หรือพนักพิง บางคนนั่งกับพื้น บางคนนำกระเป๋าเดินทางเป็นที่หนุนนอนระหว่างรอเรียกขึ้นขบวนรถไฟ
เป็นอะไรที่หลากหลายดีจริงๆ
และในโอกาสนี้ผมจะได้นำบรรยากาศและความรู้ของสถานที่แห่งนี้มาฝากทุกคน
การเดินทางโดยรถไฟเป็นการเดินทางที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
เมื่อเทียบกับการเดินทางในแบบอื่นๆ และเป็นที่นิยมของผู้คนที่มีรายได้น้อยและปานกลาง
และถือว่าเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด ทำให้วันวันนึง ที่แห่งนี้จะมีผู้คนมากหน้าหลายตามาใช้บริการกันอย่างไม่ขาดสาย
ผมได้มีโอกาสเดินสำรวจรอบๆสถานีรถไฟหัวลำโพง ทั้งทางด้านหน้าที่รูปลักษณ์สวยงามตามสไตน์สถาปัตยกรรมของอิตาเลียนกับศิลปะแบบเรอเนสซองซ์
ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสถานีรถไฟฟรังค์ฟูร์ทในประเทศเยอรมนี การประดับหลัก
ประดับด้วยหินอ่อนและเพดานมีการสลักลายนูนต่าง ๆ
โดยมีนาฬิกาขนาดใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 160 เซนติเมตร
ตั้งอยู่กลางสถานีรถไฟ สถานีแห่งนี้นิยมเรียกกันว่า สถานนีรถไฟหัวลำโพง
ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟหลักและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย โดยถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่
5 เมื่อปี พ.ศ.2453 สร้างเสร็จและเริ่มใช้งานเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2549
ปัจจุบันสถานีรถไฟหัวลำโพง มีการเชื่อมต่อการเดินทางที่ค่อนข้างครบวงจร
สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดิน และรถไฟฟ้าแบบ sky train สามารถเดินทางไปได้ทั่วทั้งกรุงเทพมหานครเลยทีเดียว
เมื่อหันกลับมาดูภายในอาคารจะพบว่าสถานีรถไฟแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก
ประกอบด้วยอาคารมุขหน้า มีลักษณะเหมือนระเบียงยาว มีทั้งหมด 2 ชั้น
ตรงกลางของอาคารมุขหน้าจะมีที่นั่งไว้รองรับผู้โดยสาร ด้านข้างปัจจุบันมีร้านค้าแบบสะดวกซื้อและร้านที่ให้บริการสำหรับการเดินทางอาทิเช่น
ร้านเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ร้านแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ธนาคารที่สำคัญ
ร้านขายขนมหลากหลายชนิด
สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารที่รอเดินทางได้เป็นอย่างดี
ชั้นสองของอาคารจะเป็นร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อ เป็นที่ตั้งของบริษัทนำเที่ยวชั้นนำสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ
ร้านเกมส์และอินเตอร์เน็ต บริษัทรับจองโรงแรมและจำหน่ายตั๋วเครื่องบินไว้ให้บริการ
สำหรับด้านในสุดของตัวอาคารเป็นห้องสำหรับจำหน่ายตั๋วประมาณ 10 – 20 ห้องด้วยกัน
ทุกคนสามารถตรวจสอบตารางเวลาเข้า-ออกของรถไฟแต่ละขบวนได้ที่บอร์ดระบบดิจิตอลทางด้านข้างของห้องจำหน่ายตั๋ว
สำหรับส่วนที่สองเป็นอาคารโถงสถานี หลังคาโค้งขนาดใหญ่ สถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค
(Classicism) คือ เป็นงานเลียนแบบสถาปัตยกรรมโบราณของกรีก –
โรมัน สำหรับจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือ กระจกสีที่ช่องระบายอากาศ
ทั้งด้านหน้าและด้านหลังซึ่งประดับไว้อย่างผสมผสานกลมกลืนกับตัวอาคาร
เช่นเดียวกับนาฬิกาบอกเวลาซึ่งติดตั้งไว้กลางส่วนโค้งของอาคารด้านในและด้านนอก
โดยเป็นนาฬิกาที่สั่งทำขึ้นพิเศษเป็นการเฉพาะ
ไม่ระบุชื่อบริษัทผู้ผลิตเหมือนนาฬิกาทั่วๆ ไป
สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยสำหรับสถานีรถไฟแห่งนี้ก็คือ
บริเวณเหนือห้องประชาสัมพันธ์ จะมีจอภาพขนาด 300 นิ้ว ควบคุมด้วยระบบ DOLBY
DIGITAL ไว้สำหรับการประชาสัมพันธ์ ฉายเรื่องราวเกี่ยวกับรถไฟ
เชื่อมสัญญาณกับสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆของไทย
รวมทั้งสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับผู้โดยสารที่รอนั่นก็คือ การเปิดมิวสิควีดีโอ
ให้ได้รับชมและรับฟัง
ถือว่าในช่วงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผมได้เรียนรู้อะไรได้มากมายเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
เป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่งที่ถือว่าคุ้มค่านะครับ จากนั้นเวลาประมาณ 17.15 น.
ได้เวลาในการเดินทางแล้ว ผมจึงขออนุญาตเดินไปขึ้นขบวนรถไฟที่ ณ ตอนนี้
ได้มาจอดเทียบชานชลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไว้จะนำบรรยากาศระหว่างการเดินทางโดยรถไฟมาฝากในโอกาสหน้าครับ ไปละครับ ........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น