วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร


หลังจากเสร็จภาระกิจการการทำงานในช่วงเช้า ยังคงมีเวลาเหลืออยู่ ก็เลยชักชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ออกตะเวน หาที่กิน ที่เที่ยวกัน  เวลาซักประมาณ 10 โมงเช้า ทุกคนได้ต่างลงความเห็นกันว่าจะไปไหว้พระที่วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร อันเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเก่าแก่ของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ไหนๆมาถึงที่แล้ว เลยชวนกันไปทำบุญ ไหว้พระ สักการะสิ่งศักด์สิทธิ์ เสริมศิริมงคลให้กับชีวิต ขณะรถเคลื่อนผ่านเข้ามายังวัด ผมได้หันไปมองพระมหาธาตุเจดีย์ ที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางวัด ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า เป็นวัดที่สวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมทางภาคใต้จริงๆครับ ซึ่งปกติแล้วผมมักจะไปเที่ยวและทำบุญตามวัดแถบภาคกลางซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตัวผมเอง และด้วยความที่ไม่เคยมาวัดนี้มาก่อน เมื่อได้มา ก็รู้สึกทึ่งและรู้สึกตื่นเต้นในการมาวัดแห่งนี้  เริ่มต้น ผมและคนอื่นๆที่มาด้วยกัน เดินมุ่งตรงไปรับดอกไม้ ธูปเทียน ที่ซุ้มด้านหน้าวัดติดกับพระอุโบสถ จากนั้นก็ร่วมทำบุญช่วยค่าดอกไม้ ธูปเทียน ตามกำลังศรัทธาของแต่ละคน และก็พากันเดินกันเข้าไปในเขตพระบรมธาตุเจดีย์ ได้พบเห็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำจำนวนมากมายล้อมรอบพระมหาธาตุเจดีย์ ซึ่งจากที่ได้ค้นหาข้อมูลพบว่ามีจำนวนเจดีย์ทั้งหมด 158 องค์ และพระบรมธาตุเจดีมีความสูงจากฐานถึงยอด 37 วา 2 ศอก ยอดสุดของปล้องไฉนหุ้มทองคำเหลืองอร่าม สูง 6 วา 1 ศอก แผ่เป็นแผ่นหนาเท่าใบลานหุ้มไว้ น้ำหนัก 800 ชั่งหรือ 960 กิโลกรัม
                เมื่อเดินเข้าไปจะรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่พบเห็นไม่ว่าจะเป็นเจดีย์ พระบรมธาตุเจดีย์ ในบริเวณเจดีย์จะมีจุดไว้สำหรับทำการกราบไหว้พระบรมธาตุเจดีย์ หรือเจดีย์ ซึ่งมีความสวมงามมาก เดินเข้าไปอีกไม่ถึง 10 เมตรก็จะพบกับวิหารหลวงซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา ภายในประดิษสถานพระพุทธรูปโดยรอบ วิหารที่สำคัญอื่นๆมีดังนี้
วิหารสามจอมมีพระพุทธรูป "พระจ้าศรีธรรมโศกราช" ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์
วิหารพระมหาภิเนษกรม (พระทรงม้า) ทางขึ้นไปบนลานประทักษิณ
วิหารทับเกษตร
วิหารเขียน
วิหารโพธิ์ลังกาซึ่งเป็นที่จัดและแสดงโบราณวัตถุ
ข้อมูลทั่วไปของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นดังนี้ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ตำบลในเมืองมีเนื้อที่ 25 ไร่ 2 งาน วัดพระมหาธาตุเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชั้นวรมหาวิหาร เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศจดทะเบียนวัดพระมหาธาตุเป็นโบราณสถาน นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ ตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.854 ซึ่งมีอายุมากกว่า 1,500 ปี มีศิลปะการก่อสร้างแบบศรีวิชัย โดยเจ้าชายธนกุมารและพระนางเหมชาลาและบาคู (นักบวช) ชาวลังกา เป็นผู้นำเสด็จพระบรมธาตุมาประดิษฐาน ณ หาดทรายแก้วและสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ เพื่อเป็นที่หมายไว้ ในปี พ.ศ. 1093 พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช (พระเจ้าจันทรภาณุ) ได้ทำการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมทั้งก่อสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่เป็นทรงศาญจิ และในปี พ.ศ. 1770 พระองค์จึงได้รับเอาพระภิกษุจากลังกามาตั้งคณะสงฆ์และบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นไปตามแบบสถาปัตยกรรมทรงลังกา อันเป็นแบบที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันคือ เป็นทรงระฆังคว่ำหรือโอคว่ำ นั่นเอง
หลังจากได้เดินชมความงาม ความศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับบุคคลทั่วไปหรือนักท่องเที่ยวที่มากราบไหว้ บูชา พระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารแห่งนี้ก็คือ การเข้าไปในวิหารทรงม้า อันเป็นที่ประดิษสถานองค์จตุคาม และองค์รามเทพ ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันมาช้านานและเป็นที่มาของวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันมาก เมื่อประมาณปี พ.ศ.2550 เรียกความศรัทธาให้กับพุทธศานิกชนทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก ภายในพระวิหารทรงม้า ผมเชื่อได้เลยว่า ผู้ที่ได้มีโอกาสเข้ามาจะรู้สึกประทับใจในความตระการตากับสถาปัตยกรรมภายของพระวิหารแห่งนี้ ซึ่งมีความสวยงามและมีคุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างยิ่ง (เกินคำบรรยายจริงๆ ดูภาพประกอบเอาเองนะครับ) เมื่อยืนหันหน้าไปทางองค์ท้าวจตุคามและองค์ท้าวรามเทพจะพบว่ามีบันไดทางขึ้นตรงกลางกั้นระหว่างองค์ทั้งสอง ปลายสุดของบันไดทางขึ้นจะเป็นที่ประดิษสถานขององค์ท้าวจตุคามและองค์ท้าวรามเทพ โดยที่องค์ท้าวจตุคามจะถูกประดิษสถานทางด้านซ้ายมือ และองค์ท้าวรามเทพจะถูกประดิษสถานทางด้านขวามือของบันไดทางขึ้น ที่ปลายสุดของบันไดจะเป็นทางออกไปสู่ลานประทักษิณ ลักษณะโดยทั่วไปมีความคล้ายคลึงกับลานเจดีย์ ณ วัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ผมเคยไปมา จะต่างกันที่สถาปัตยกรรมของทั้งสองวัด ที่ได้รับอิทธิพลจากสังคม วัฒนธรรมที่ต่างกันนั่นเอง
ก่อนเดินทางกลับ ผมก็ถือโอกาสเช่าวัตถุมงคล เป็นเหรียญบูชาองค์ท้าวจตุคามและท้าวรามเทพ รุ่น คู่บุญ คู่บารมี จำนวน 1 เหรียญ กลับไปบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น: