หลังจากเสร็จภาระกิจการการทำงานในช่วงเช้า ยังคงมีเวลาเหลืออยู่ ก็เลยชักชวนเพื่อนๆ
พี่ๆ น้องๆ ออกตะเวน หาที่กิน ที่เที่ยวกัน เวลาซักประมาณ 10 โมงเช้า ทุกคนได้ต่างลงความเห็นกันว่าจะไปไหว้พระที่วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร
อันเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเก่าแก่ของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ไหนๆมาถึงที่แล้ว
เลยชวนกันไปทำบุญ ไหว้พระ สักการะสิ่งศักด์สิทธิ์ เสริมศิริมงคลให้กับชีวิต ขณะรถเคลื่อนผ่านเข้ามายังวัด
ผมได้หันไปมองพระมหาธาตุเจดีย์ ที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางวัด
ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า เป็นวัดที่สวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมทางภาคใต้จริงๆครับ
ซึ่งปกติแล้วผมมักจะไปเที่ยวและทำบุญตามวัดแถบภาคกลางซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตัวผมเอง
และด้วยความที่ไม่เคยมาวัดนี้มาก่อน เมื่อได้มา ก็รู้สึกทึ่งและรู้สึกตื่นเต้นในการมาวัดแห่งนี้
เริ่มต้น ผมและคนอื่นๆที่มาด้วยกัน เดินมุ่งตรงไปรับดอกไม้
ธูปเทียน ที่ซุ้มด้านหน้าวัดติดกับพระอุโบสถ จากนั้นก็ร่วมทำบุญช่วยค่าดอกไม้
ธูปเทียน ตามกำลังศรัทธาของแต่ละคน และก็พากันเดินกันเข้าไปในเขตพระบรมธาตุเจดีย์ ได้พบเห็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำจำนวนมากมายล้อมรอบพระมหาธาตุเจดีย์
ซึ่งจากที่ได้ค้นหาข้อมูลพบว่ามีจำนวนเจดีย์ทั้งหมด 158 องค์
และพระบรมธาตุเจดีมีความสูงจากฐานถึงยอด 37 วา 2 ศอก ยอดสุดของปล้องไฉนหุ้มทองคำเหลืองอร่าม
สูง 6 วา 1 ศอก แผ่เป็นแผ่นหนาเท่าใบลานหุ้มไว้ น้ำหนัก 800 ชั่งหรือ 960 กิโลกรัม
เมื่อเดินเข้าไปจะรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่พบเห็นไม่ว่าจะเป็นเจดีย์
พระบรมธาตุเจดีย์ ในบริเวณเจดีย์จะมีจุดไว้สำหรับทำการกราบไหว้พระบรมธาตุเจดีย์
หรือเจดีย์ ซึ่งมีความสวมงามมาก เดินเข้าไปอีกไม่ถึง 10
เมตรก็จะพบกับวิหารหลวงซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา
ภายในประดิษสถานพระพุทธรูปโดยรอบ วิหารที่สำคัญอื่นๆมีดังนี้
วิหารสามจอมมีพระพุทธรูป
"พระจ้าศรีธรรมโศกราช" ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์
วิหารพระมหาภิเนษกรม (พระทรงม้า)
ทางขึ้นไปบนลานประทักษิณ
วิหารทับเกษตร
วิหารเขียน
วิหารโพธิ์ลังกาซึ่งเป็นที่จัดและแสดงโบราณวัตถุ
ข้อมูลทั่วไปของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
เป็นดังนี้ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน
ตำบลในเมืองมีเนื้อที่ 25 ไร่ 2 งาน วัดพระมหาธาตุเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชั้นวรมหาวิหาร
เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศจดทะเบียนวัดพระมหาธาตุเป็นโบราณสถาน
นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ ตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.854 ซึ่งมีอายุมากกว่า
1,500 ปี มีศิลปะการก่อสร้างแบบศรีวิชัย โดยเจ้าชายธนกุมารและพระนางเหมชาลาและบาคู
(นักบวช) ชาวลังกา เป็นผู้นำเสด็จพระบรมธาตุมาประดิษฐาน ณ
หาดทรายแก้วและสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ เพื่อเป็นที่หมายไว้ ในปี พ.ศ. 1093 พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
(พระเจ้าจันทรภาณุ) ได้ทำการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมทั้งก่อสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่เป็นทรงศาญจิ
และในปี พ.ศ. 1770
พระองค์จึงได้รับเอาพระภิกษุจากลังกามาตั้งคณะสงฆ์และบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นไปตามแบบสถาปัตยกรรมทรงลังกา
อันเป็นแบบที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันคือ เป็นทรงระฆังคว่ำหรือโอคว่ำ นั่นเอง
หลังจากได้เดินชมความงาม ความศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับบุคคลทั่วไปหรือนักท่องเที่ยวที่มากราบไหว้ บูชา
พระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารแห่งนี้ก็คือ
การเข้าไปในวิหารทรงม้า อันเป็นที่ประดิษสถานองค์จตุคาม และองค์รามเทพ ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันมาช้านานและเป็นที่มาของวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันมาก
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2550 เรียกความศรัทธาให้กับพุทธศานิกชนทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก ภายในพระวิหารทรงม้า
ผมเชื่อได้เลยว่า ผู้ที่ได้มีโอกาสเข้ามาจะรู้สึกประทับใจในความตระการตากับสถาปัตยกรรมภายของพระวิหารแห่งนี้
ซึ่งมีความสวยงามและมีคุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างยิ่ง (เกินคำบรรยายจริงๆ
ดูภาพประกอบเอาเองนะครับ) เมื่อยืนหันหน้าไปทางองค์ท้าวจตุคามและองค์ท้าวรามเทพจะพบว่ามีบันไดทางขึ้นตรงกลางกั้นระหว่างองค์ทั้งสอง
ปลายสุดของบันไดทางขึ้นจะเป็นที่ประดิษสถานขององค์ท้าวจตุคามและองค์ท้าวรามเทพ
โดยที่องค์ท้าวจตุคามจะถูกประดิษสถานทางด้านซ้ายมือ
และองค์ท้าวรามเทพจะถูกประดิษสถานทางด้านขวามือของบันไดทางขึ้น ที่ปลายสุดของบันไดจะเป็นทางออกไปสู่ลานประทักษิณ
ลักษณะโดยทั่วไปมีความคล้ายคลึงกับลานเจดีย์ ณ วัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่
ที่ผมเคยไปมา จะต่างกันที่สถาปัตยกรรมของทั้งสองวัด ที่ได้รับอิทธิพลจากสังคม
วัฒนธรรมที่ต่างกันนั่นเอง
ก่อนเดินทางกลับ ผมก็ถือโอกาสเช่าวัตถุมงคล
เป็นเหรียญบูชาองค์ท้าวจตุคามและท้าวรามเทพ รุ่น คู่บุญ คู่บารมี จำนวน 1 เหรียญ
กลับไปบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น